"พ่อครับ วันนี้ผมมีความสุขที่สุดในชีวิตเลยครับ" เจ้าลูกชายคนเล็กจากลูกๆทั้งหมดสี่คนได้พูดขึ้นมา ในขณะที่คุณพ่อกำลังจะออกจากห้อง และนั่นทำให้คุณพ่อคนนี้หยุดคิดในใจ "แต่วันนี้เขาไม่ได้ซื้อ Play Station ไม่ได้ซื้อของเล่นอะไรแพงๆให้ลูกน่ะ ไม่ได้พาไปเที่ยว Disneyland ด้วย ?!?! แต่ลูกชายตัวน้อยกลับมีความสุขมากขนาดนี้เลยเหรอ"
ผมขอ pause เรื่องราวไว้แปปนึง สัญญาว่าจะกลับมาเล่าต่อครับ เรื่องราวที่ผมเพิ่งเล่าไปนั้น มาเรื่องจริงของผู้ชายคนนึงที่เคยทำงานอย่างหนักและเข้าสังคมอย่างหนักเพื่อบริษัท จนเขาได้ทิ้งชีวิตครอบครัวไว้เบื้องหลัง พร้อมด้วยลูกๆอีก 4 คน จนกระทั่งวันนึง เขาก็ได้ตัดสินใจอย่างยิ่งใหญ่นั่นคือ พักงานมาอยู่กับครอบครัว 1 ปีครับ และนี้คือ เรื่องราวที่ผมได้ฟังจาก "Nigel Marsh"
สมดุลงานและชีวิตทำไงให้ได้ผล
เรื่องราวที่ผมจะเล่าในบทความนี้ ผมได้ฟังมาจาก TED Talk "How to make work-life balance work" ซึ่งมันยาวไม่เกิน 15 นาที ดังนั้นถ้าเป็นไปได้ไปฟังเองจะฟินมากครับ แต่ว่าจะผมเล่าสิ่งที่ผมประทับมากๆให้ฟัง
อย่างที่ผมได้กล่าวไปแล้วคุณ Nigel Marsh เป็นคนทำงานหนักมากๆ จนได้ขอลามาอยู่กับครอบครัว 1 ปี จนกระทั่งเมื่อตังค์หมด....ก็ต้องกลับไปทำงานและเขาใช้เวลา 7 ปีในการทำงาน ต่อสู้ เพื่อทำในสิ่งที่เรียกว่า "Work-life balance" ซึ่งมันทำให้เขาสังเกตุเห็นสิ่งสำคัญ 4 ประการนั่นคือ
1. คนเราพูดถึงเรื่อง Work-life balance กันแต่มุมมองที่ไร้สาระ - เช่น ให้มีเวลาทำงานที่ยืดหยุ่นได้ไหม, ใส่กางเกงยีนส์ไปทำงานในวันศุกร์ หรือ คุณพ่อสามารถลาได้ด้วย เมื่อภรรยาลาคลอด เป็นต้น และข้ออ้างทั้งหมดเนี่ย จริงๆแล้วมันเป็นแค่การซ่อนปัญหาที่แท้จริง ซึ่งปัญหาที่แท้จริงคือ "งานบางประเภท ไม่สามารถเข้ากันกับพื้นฐานครอบครัวที่เพิ่งเริ่มต้นชีวิตครอบครัว (ในการบรรยายใช้คำว่า 'Young Family' ซึ่งหมายถึง ครอบครัวที่มีลูกเล็กๆ)"
2. ยอมรับความจริงว่า "ปัญหาเรื่องเวลาทำงานเหล่านั้น ไม่มีใครแก้ให้คุณ!!!" - จงยอมรับความจริง และคุณต้องรับผิดชอบชีวิตของคุณเอง "คุณต้องออกแบบชีวิตที่คุณอยากเป็น มิเช่นนั้นแล้วใครบางคนจะมาออกแบบให้คุณ แล้วคุณอาจจะไม่ชอบ นิยามของคำว่า'สมดุล' ที่เขาตั้งให้กับคุณ" มันคือชีวิตของคุณครับ "ชีวิตครอบครัวของคุณสำคัญมากเกิน ที่จะถูกทิ้งไว้ในมือของเจ้านายของคุณ" โดนใจมาก!!!
3. ระวังกรอบเวลาที่คุณเลือก - อย่าโดนหลอกว่าคุณจะได้ใช้ชีวิตเมื่อเกษียณ เพราะเวลานั้นคุณเอง ลูกๆก็ออกจากบ้านแล้ว ภรรยาอาจจะขอหย่าไปแล้ว และสุขภาพย่ำแย่ และชีวิตที่คุณอยากใช้น่ะ เวลาเพียงหนึ่งวันมันก็สั้นไป ดังนั้นมันต้องมีทางสายกลางซิ
4. เราต้องเข้าหาสมดุล ด้วยวิธีที่สมดุล - ถ้าคุณคิดว่าทำงานวันละ 10 ชั่วโมงบวกเวลาเดินทางอีก 2 ชั่วโมงแล้วทำให้คุณไม่มีสมดุลในชีวิต คุณเลยไปลงสมัครฟิตเนสต่อ อันนี้ไม่ใช่แล้วครับ เพราะชีวิตมันมีอะไรมากกว่านั้นครับ ชีวิตเรายังมีด้านสติปัญญา ด้านอารมณ์ ด้านจิตวิญญาณ ดังนั้นเราควรที่จะใส่ใจกับทุกๆอย่าง
สิ่งที่ทำให้คุณ Nigel ได้รับมุมมองใหม่ๆ คือ ตอนที่ภรรยาของเขาได้โทรไปบอกว่า เธอไม่สามารถไปรับลูกชายคนเล็กที่โรงเรียนได้ เพราะต้องดูแลลูกอีก 3 คน ดังนั้น Nigel เลยต้องออกจากบริษัทเร็วขึ้น 1 ชั่วโมง เพื่อไปรับลูกชายที่หน้าประตูโรงเรียน พาลูกชายไปเดินเล่นในสวน เล่นชิงช้า และเกมส์บ้าๆบอๆ จากนั้นก็พาไปร้านกาแฟไปกินพิซซ่าด้วยกัน แล้วค่อยเดินกลับบ้าน เขาอาบน้ำให้ลูกชาย จับใส่ชุดนอนตัวเก่งลาย Batman อ่านนิทานให้เขาฟัง แล้วก็พาเข้านอน ห่มผ้าให้ จูบหน้าผาก และบอก Goodnight sleep และก่อนที่เขาจะออกจากห้องลูกชายคนเล็กก็บอกว่า "พ่อครับ วันนี้ผมมีความสุขที่สุดในชีวิตเลยครับ"
ประเด็นของคุณ Nigel Marsh คือการทำให้เกิดสมดุลในชีวิต มันไม่ได้หมายถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในชีวิต แต่มันเป็นการลงทุนในความสัมพันธ์และคุณภาพในชีวิต เพราะเราไม่ควรนับว่าใครมีเงินมากที่สุดคือผู้ชนะตอนตาย มันควรมีคำนิยามที่ลึกซึ้งกว่านั้น และนี้คือแนวคิดที่มีคุณค่าพอที่จะบอกให้กับทุกคนครับ
(จบการบรรยายครับ)
ผมขอ pause เรื่องราวไว้แปปนึง สัญญาว่าจะกลับมาเล่าต่อครับ เรื่องราวที่ผมเพิ่งเล่าไปนั้น มาเรื่องจริงของผู้ชายคนนึงที่เคยทำงานอย่างหนักและเข้าสังคมอย่างหนักเพื่อบริษัท จนเขาได้ทิ้งชีวิตครอบครัวไว้เบื้องหลัง พร้อมด้วยลูกๆอีก 4 คน จนกระทั่งวันนึง เขาก็ได้ตัดสินใจอย่างยิ่งใหญ่นั่นคือ พักงานมาอยู่กับครอบครัว 1 ปีครับ และนี้คือ เรื่องราวที่ผมได้ฟังจาก "Nigel Marsh"
สมดุลงานและชีวิตทำไงให้ได้ผล
เรื่องราวที่ผมจะเล่าในบทความนี้ ผมได้ฟังมาจาก TED Talk "How to make work-life balance work" ซึ่งมันยาวไม่เกิน 15 นาที ดังนั้นถ้าเป็นไปได้ไปฟังเองจะฟินมากครับ แต่ว่าจะผมเล่าสิ่งที่ผมประทับมากๆให้ฟัง
อย่างที่ผมได้กล่าวไปแล้วคุณ Nigel Marsh เป็นคนทำงานหนักมากๆ จนได้ขอลามาอยู่กับครอบครัว 1 ปี จนกระทั่งเมื่อตังค์หมด....ก็ต้องกลับไปทำงานและเขาใช้เวลา 7 ปีในการทำงาน ต่อสู้ เพื่อทำในสิ่งที่เรียกว่า "Work-life balance" ซึ่งมันทำให้เขาสังเกตุเห็นสิ่งสำคัญ 4 ประการนั่นคือ
1. คนเราพูดถึงเรื่อง Work-life balance กันแต่มุมมองที่ไร้สาระ - เช่น ให้มีเวลาทำงานที่ยืดหยุ่นได้ไหม, ใส่กางเกงยีนส์ไปทำงานในวันศุกร์ หรือ คุณพ่อสามารถลาได้ด้วย เมื่อภรรยาลาคลอด เป็นต้น และข้ออ้างทั้งหมดเนี่ย จริงๆแล้วมันเป็นแค่การซ่อนปัญหาที่แท้จริง ซึ่งปัญหาที่แท้จริงคือ "งานบางประเภท ไม่สามารถเข้ากันกับพื้นฐานครอบครัวที่เพิ่งเริ่มต้นชีวิตครอบครัว (ในการบรรยายใช้คำว่า 'Young Family' ซึ่งหมายถึง ครอบครัวที่มีลูกเล็กๆ)"
2. ยอมรับความจริงว่า "ปัญหาเรื่องเวลาทำงานเหล่านั้น ไม่มีใครแก้ให้คุณ!!!" - จงยอมรับความจริง และคุณต้องรับผิดชอบชีวิตของคุณเอง "คุณต้องออกแบบชีวิตที่คุณอยากเป็น มิเช่นนั้นแล้วใครบางคนจะมาออกแบบให้คุณ แล้วคุณอาจจะไม่ชอบ นิยามของคำว่า'สมดุล' ที่เขาตั้งให้กับคุณ" มันคือชีวิตของคุณครับ "ชีวิตครอบครัวของคุณสำคัญมากเกิน ที่จะถูกทิ้งไว้ในมือของเจ้านายของคุณ" โดนใจมาก!!!
3. ระวังกรอบเวลาที่คุณเลือก - อย่าโดนหลอกว่าคุณจะได้ใช้ชีวิตเมื่อเกษียณ เพราะเวลานั้นคุณเอง ลูกๆก็ออกจากบ้านแล้ว ภรรยาอาจจะขอหย่าไปแล้ว และสุขภาพย่ำแย่ และชีวิตที่คุณอยากใช้น่ะ เวลาเพียงหนึ่งวันมันก็สั้นไป ดังนั้นมันต้องมีทางสายกลางซิ
4. เราต้องเข้าหาสมดุล ด้วยวิธีที่สมดุล - ถ้าคุณคิดว่าทำงานวันละ 10 ชั่วโมงบวกเวลาเดินทางอีก 2 ชั่วโมงแล้วทำให้คุณไม่มีสมดุลในชีวิต คุณเลยไปลงสมัครฟิตเนสต่อ อันนี้ไม่ใช่แล้วครับ เพราะชีวิตมันมีอะไรมากกว่านั้นครับ ชีวิตเรายังมีด้านสติปัญญา ด้านอารมณ์ ด้านจิตวิญญาณ ดังนั้นเราควรที่จะใส่ใจกับทุกๆอย่าง
สิ่งที่ทำให้คุณ Nigel ได้รับมุมมองใหม่ๆ คือ ตอนที่ภรรยาของเขาได้โทรไปบอกว่า เธอไม่สามารถไปรับลูกชายคนเล็กที่โรงเรียนได้ เพราะต้องดูแลลูกอีก 3 คน ดังนั้น Nigel เลยต้องออกจากบริษัทเร็วขึ้น 1 ชั่วโมง เพื่อไปรับลูกชายที่หน้าประตูโรงเรียน พาลูกชายไปเดินเล่นในสวน เล่นชิงช้า และเกมส์บ้าๆบอๆ จากนั้นก็พาไปร้านกาแฟไปกินพิซซ่าด้วยกัน แล้วค่อยเดินกลับบ้าน เขาอาบน้ำให้ลูกชาย จับใส่ชุดนอนตัวเก่งลาย Batman อ่านนิทานให้เขาฟัง แล้วก็พาเข้านอน ห่มผ้าให้ จูบหน้าผาก และบอก Goodnight sleep และก่อนที่เขาจะออกจากห้องลูกชายคนเล็กก็บอกว่า "พ่อครับ วันนี้ผมมีความสุขที่สุดในชีวิตเลยครับ"
ประเด็นของคุณ Nigel Marsh คือการทำให้เกิดสมดุลในชีวิต มันไม่ได้หมายถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในชีวิต แต่มันเป็นการลงทุนในความสัมพันธ์และคุณภาพในชีวิต เพราะเราไม่ควรนับว่าใครมีเงินมากที่สุดคือผู้ชนะตอนตาย มันควรมีคำนิยามที่ลึกซึ้งกว่านั้น และนี้คือแนวคิดที่มีคุณค่าพอที่จะบอกให้กับทุกคนครับ
(จบการบรรยายครับ)
เรียบเรียงข้อมูลโดย buildsweethome.blogspot.com
รู้สึกอย่างไรมาบอกกันได้น่ะครับ สำหรับใครที่ต้องการฟังของจริงก็กดดูใน video ได้เลยขอบคุณครับ