Build Sweet Home

ญาติมาขอให้เซ็นค้ำประกันให้ จะทำไงดี? มาดูทางเลือกกัน

Tweet
f Share

เพื่อนๆคงเคยได้ยินประโยคุสดคลาสสิคว่า "2 สิ่งในชีวิตที่หนีไม่พ้น คือ ความตายกับภาษี" แต่วันนี้ผมคิดว่ามันน่าจะมีอย่างที่ 3 ที่เราหนีกันไม่พ้นเพิ่มครับ นั่นคือ "คนมาขอยืมเงิน!!!" ซึ่งบางคนจะมารูปแบบที่หนักกว่ายืมเงินอีก หรือมาให้เราเป็นผู้ค้ำประกันกู้ซื้อบ้านหรือกู้ซื้อของให้! แบบนี้เราจะทำอย่างไรดี

วิเคราะห์สาเหตุที่ต้องมีผู้ค้ำประกัน
ตามปกติถ้าคนทำงานมีหน้าที่การงานดี มีบริษัทมั่นคงหรือสภาพการเงินที่น่าเชื่อถือ ธนาคารต่างๆก็จะไม่ขอผู้ค้ำประกัน แต่การที่เขาของผู้ค้ำประกันนั่นก็อาจจะหมายถึง คนที่กู้มีโอกาสไม่สามารถหาเงินมาจ่ายได้! ซึ่งบางครั้งสาเหตุของการที่เขาให้ผู้ค้ำประกันก็อาจจะเป็นไปได้ว่า

◦ ซื้อบ้านราคาเกินตัว - บางคนก็มีเงินเดือนมากมาย แต่ก็ไปเลือกซื้อบ้านราคาที่แพงสุดๆขึ้นไปอีกตามฐานะ แต่ทีนี้ทางธนาคารอาจจะมองว่า เขาอาจจะชำระไม่ไหวในอนาคตเลยต้องมีผู้ค้ำประกัน
◦ เพิ่งย้ายที่ทำงาน - บางคนย้ายงานเพิ่มเงินเดือน แล้วก็ไปกู้ซื้อบ้าน ซึ่งถ้ายังทำงานมาไม่ถึง 6 เดือนหรือ 1 ปีส่วนมากต้องมีผู้ค้ำประกันเพิ่มครับ
◦ ไม่ได้ทำงานบริษัท - ปัญหาสุดคลาสสิคอีกอย่างที่จะเห็นกันได้บ่อยเลยคือ ค้าขายทั่วไป ไม่ได้ทำงานบริษัท แล้วพอไปกู้ซื้อบ้าน ซื้อรถทีก็เรื่องเยอะ
◦ อื่นๆ - การที่เขาขอผู้ค้ำประกันก็มีได้อีกหลายร้อยสาเหตุ ซึ่งเราอาจจะไม่รู้ก็ได้ครับ



แล้วจะเซ็นค้ำประกันให้ดีไหม?
ผมเชื่อว่าเพื่อนๆต้องโดนกดดันกันเต็มที่แน่นอน โดยเฉพาะเวลาที่ญาติๆมาขอเนี่ย บอกว่าเป็นญาติกันน่ะ(เป็นพี่เป็นน้องกันน่ะ) ไม่ช่วยเลยเหรอ และสาเหตุอื่นๆอีกล้านอย่าง ซึ่งทางออกที่จะปลอดภัยสำหรับคุณก็มีประมาณนี้ครับ

ให้เราเป็นเจ้าของร่วม - คราวนี้เราบอกเลยว่า ไม่เป็นผู้ค้ำประกันแล้ว มาเป็นเจ้าของร่วมกันเลยดีกว่า เดี๋ยวช่วยจ่าย ฮ่าๆๆๆๆๆ

คุณเคยเจอได้ยินไหมครับ พอให้ยืมเงินแล้วหรือพอค้ำประกันให้แล้ว ก็ตามหาคนกู้ไม่เจออีกด้วย โทรติดต่อก็ไม่ได้ ฮ่วย!
เอารถหรือที่ดินมาให้เรา - การที่เราเซ็นค้ำประกัน มันมีความเสี่ยงมากๆว่าเราอาจจะต้องเป็นคนจ่ายเงินแทน ดังนั้นเราอาจจะเอาที่ดินหรือทรัพย์สินมีค่ามาฝากไว้กับเราก่อน ซึ่งที่ดินกับรถยนต์ราคาแพงก็เป็นทางเลือกที่พอรับได้


ไม่อยากเซ็นทำอะไรได้บ้าง
การที่คุณเซ็นเอกสารบอกว่าเป็นคนค้ำประกัน แปลว่าถ้าคนกู้ไม่จ่ายแล้วไปอยู่ต่างประเทศ คุณ(คนค้ำประกัน)ก็ต้องจ่ายแทน และภาระกับความเสี่ยงตรงนี้จะอยู่ไปจนกว่าผู้กู้จะจ่ายครบ ซึ่งอาจจะกินระยะเวลานานเป็น 10-30 ปี ดังนั้นผมเชื่อว่ามีหลายคนไม่อยากเซ็นแน่ๆ เรามาดูวิธีแก้กันดีกว่าครับ

ไม่แคร์สื่อ - ไม่ให้ ไม่ช่วย ซึ่งอาจจะโดนญาติมองหน้ากันไม่ติด แต่เรื่องเงินก็เป็นเรื่องสำคัญครับ เพื่อนๆวางแผนกันให้ดีๆน่ะ

ให้ยืมเงินแทน - การให้ญาติยืมเงิน อาจจะเป็นการให้เงินซะมากกว่าเหมือนเราจ่ายแทนเลยด้วยซ้ำ แต่ว่าเราก็ได้ช่วยแล้วไง สมมุติว่าญาติจะกู้ 5 ล้าน แต่เรามีให้ยืมให้ 1 ล้าน ถ้าเป็นญาติที่สนิทกันจริงๆก็ให้ยืมไป โดยเราไม่ต้องไปเครียดว่าเขาจะจ่ายไหวไหมไปอีก 20 ปี อ้อ ตอนที่ให้ยืมเงินก็ทำสัญญากู้-ยืมกันให้เรียบร้อยครับ จะได้จำได้ตรงกันไม่ต้องมาอ้างว่า... ยืมไป 6 แสนน่ะ ไม่ได้ยืม 1 ล้านสักหน่อย เหอะๆ ตอนขอยืม อ้างความดีในอดีตอันแสนไกลได้อย่างแม่นยำ แต่พอตรูทวงเงินคืน ความจำกลับสั้นราวกับปลาทอง !@#%*#$%*
โดย buildsweethome.blogspot.com
แล้วเพื่อนๆมีคำแนะนำอะไรก็มาบอก มาแนะนำกันได้เลยครับ ขอบคุณมากๆเลยครับ ส่วนเรื่องราวเกี่ยวกับการเลือกซื้อบ้านดูเรื่องนี้ด้วย [วิธีผ่อนบ้านให้หมดเร็ว]
Tweet
f Share
👤  📅 วันอังคาร, ธันวาคม 13, 25592016-12-13T03:57:51Z
Previous